วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 14

ให้นักศึกษาศึกษา Power point  แล้วตอบคำถาม
การจัดการเรียนการสอนที่ท้าทายโดยใช้เครื่องมือ Mind Mapping  สอนอย่างไร ? ดีอย่างไร?
ยกตัวอย่างประกอบ  วิธีการสอนโดยใช้เครื่องมือหมวก 6ใบกับโครงงานแตกต่างกันอย่างไร?

Ø  เครื่องมือ Mind mapping
แผนที่ความคิด (MIND MAP) คืออะไร
คือ การนำเอาทฤษฎีที่เกี่ยวกับสมองไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด การเขียนแผนที่ความคิด (MIND MAP) นั้น เกิดจากการใช้ทักษะทั้งหมดของสมอง หรือเป็นการทำงานร่วมกันของสมองทั้ง 2 ซีก คือสองซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งสมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ คำ ภาษา สัญลักษณ์ ระบบ ลำดับ ความเป็นเหตุผล ตรรกวิทยา ส่วนสมองซีกขวาจะทำหน้าที่สังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลป จังหวะ โดยมีแถบเส้นประสาทคอร์ปัสคอโลซั่มเป็นเสมือนสะพานเชื่อม
วิธีการเขียน Mind Map
การเขียน Mind Map ให้ใช้กระดาษแผ่นเดียว ใช้สีสันหลากหลาย ใช้โครงสร้างตามธรรมชาติที่แผ่กระจายออกมาจุดศูนย์กลาง ใช้เส้นโยง มีเครื่องหมาย สัญลักษณ์ และรูปภาพที่ผสมผสานร่วมกันอย่างเรียบง่าย สอดคล้องกับการทำงานตามธรรมชาติของสมอง โดยมีวิธีเขียนดังนี้
1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัด โดยวางกระดาษในแนวนอน
2. วาดภาพหรือเขียนข้อความที่สื่อถึงเรื่องที่จะทำไว้กลางหน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต
3. คิดถึงหัวเรื่องสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทำ Mind Map โดยให้เขียนเป็นคำ ที่มีลักษณะเป็นหน่วย หรือเป็นคำสำคัญ (Key Word) สั้น ๆ ที่มีความหมาย บนเส้น ซึ่งแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง
4. แตกความคิดของหัวเรื่องสำคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนคำหรือวลีบนเส้นที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา
5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่ง ในข้อ 4 โดยเขียนคำหรือวลีเส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อยๆ
6. การเขียนคำ ควรเขียนด้วยคำที่เป็นคำสำคัญ (Key Word) หรือคำหลักที่มีความหมายชัดเจน
7. คำ วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการทำให้เด่น เช่น การตีกรอบ
8. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน
 
Mind-Mapping ถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากมาย และสามารถพลิกแพลงได้อย่างหลากหลาย ทั้งในการศึกษา การบริหาร การจัดการ หรือแม้กระทั่งการวางแผน
ทั้งนี้ ในเชิงบริหาร การทำ Mind-Mapping ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ผู้บริหารขององค์กร Mind-Mapping ไม่เพียงแต่สามารถแสดงแผนผังการบังคับบัญชา การแสดงสายงานได้อย่างดีและชัดเจนเท่านั้น แต่ Mind-Mapping ยังเป็นเครื่องมือการแก้ปัญหา เพื่อสร้างแนวทางการแก้ไข และการปฏิบัติการได้อย่างชัดเจน
การทำ Mind-Mapping นั้น ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยคนจำนวนมากในการทำ เพียงแค่คนๆเดียวก็สามารถที่จะทำได้ และยังเป็น กิจกรรมประเทืองปัญญาช่วยให้ความคิดแตกแขนงขยายออกไปเสมือนกิ่งไม้ที่กำลังเผยแพร่ก้าน-ใบออกไปอย่างเจริญเติบโต
และเพื่อเป็นการยืนยังถึงประโยชน์ของ Mind-Mapping ถ้าคุณมีโอกาสได้คลุกคลีกับเหล่าผู้บริหารขององค์กรต่างๆ คุณจะเห็นว่า ทุกๆท่านเหล่านั้น ต่างเคยผ่านกิจกรรม และเป็นผู้ที่นิยมทำ Mind-Mapping เพราะนอกจากจะเป็นกิจกรรมประเทืองปัญญา สามารถกระทำได้ด้วยตัวคนเดียว การทำ Mind-Mapping นั้น ยังเป็นการเปิดกว้างความคิดแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกด้วย ยกเว้นแต่ตัวของคุณเอง
นอกจากนั้น ในเครื่องมือของการบริหาร-การจัดการ ก็ยังจะมีเครื่องมือบางประเภทที่มีความคล้ายคลึงกันกับ Mind-Mapping เช่น แผนผังอิชิกาวา(Fish Bones) หรือ Tree-Diagram เป็นต้น ซึ่งทั้งสองเครื่องมือที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้น ต่างมีความคล้ายคลึงกันมากพอสมควร จนบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดความสับสนในการแยกประเภทของเครื่องมือบ้าง แต่ถ้าจะอธิบายแบบง่ายๆ Fish Bones จะถูกคิดค้นขึ้นเพื่อการนำไปใช้งานในเชิงลบ(Negative) เช่นการใช้เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหา ส่วน Tree-Diagram นั้นถูกคิดค้นเพื่อการนำไปใช้งานในเชิงบวก(Positive) ซะมากกว่า
แต่ข้อดีของ Mind-Mapping คือ ไม่จำกัด หรือบังคับว่าคุณจะต้องใช้ในเชิงลบหรือบวกเสมอไป” Mind-Mapping สามารถใช้ได้ทั้งเชิงลบ และเชิงบวก คุณอาจจะนำเอาปัญหามาตั้งเป็นหัวข้อ หรือจะนำเอาความคิดสร้างสรรค์มาตั้งเป็นหัวข้อก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและ Idea ของคุณ
Mind-Mapping ที่ดีควรจะมีลักษณะการแตกแขนงเสมือนดั่ง ต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ่งก้านใบแตกแขนงออกไป โดยแบ่งลำดับหัวข้อออกกันอย่างชัดเจน และเปิดกว้าง ไม่วกวน ที่สำคัญหัวข้อย่อย หรือเนื้อหาของแต่ละหัวข้อจะต้องมีความเกี่ยวโยงเป็นทอดๆซึ่งกันและกัน เพื่อแสดงถึงความเชื่อมโยง(Connection)อย่างถูกต้องและเป็นระบบ(System)
Mind-Mapping เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีประโยชน์มากมาย และสามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวของคุณเอง เพียงแค่กระดาษ 1 แผ่น กับดินสอ/ปากกา 1 ด้าม คุณก็สามารถที่จะสร้าง Mind-Mapping ของคุณได้แล้ว เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หรืออาจจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเพื่อความสำเร็จ ก้าวหน้า สำหรับอาชีพการงานของคุณก็เป็นได้
 Ø  เครื่องมือหมวก 6ใบ
                เทคนิคการ สอนโดยใช้หมวก 6 ใบ                   
 เทคนิค หมวก 6 ใบ เป็นเทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามเป็นการสอนเพื่อพัฒนาการคิดสำหรับนักเรียน ทุกระดับชั้น
มีขั้น ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คือ
1.แบ่งนัก เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6-8 คน
2.แบ่งกลุ่มนักเรียนให้คิด ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ตั้งคำถามให้คิด (สีขาว)
กลุ่มที่ 2 ถามความรู้สึก (สีแดง)
กลุ่มที่ 3 ตรวจสอบหาผลกระทบ (สีดำ)
กลุ่มที่ 4 หาข้อดี (สีเหลือง)
กลุ่มที่ 5 หาทางเลือกในการพัฒนา (สีเขียว)
กลุ่มที่ 6 โครงสร้างกระบวนการคิด

3.กลุ่มสรุปแผนการดำเนินโครงการ           จากการศึกษา เรื่อง หมวก 6 ใบ คิด 6 แบบ ทำให้ได้รับความรู้และทดลองฝึกปฎิบัติวิธีการคิดที่หลากหลาย ทำให้ทราบว่า เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เราสามารถมีวิธีการคิด หรือมุมมองในเรื่องเดียวกันนั้น ได้หลายแบบ แล้วแต่ว่า คุณคิดโดยใช้หมวกสีใด
           ซึ่งการคิดโดย ใช้หมวกสีต่างๆ ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น แล้วแต่ความเหมาะสมและการนำไปใช้ประโยชน์ ที่นี้มาดูนะคะว่าหมวก 6 ใบนั้นมีสีอะไรบ้าง และหมายถึงการคิดแบบใด
หมวก 6 ใบ หรือ 6 สี            
           สีขาว หมายถึง การคิดแบบอิงอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงข้อมูล และตัวเลข โดยไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง
- สวมบทบาทเป็นคอมพิวเตอร์ ให้ข้อเท็จจริงแบบเป็นกลาง และไม่มีอคติ ไม่ต้องตีความ ขอแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น อะไรคือข้อเท็จจริงต่างๆของเรื่องนี้ เมื่อครูต้องการให้เด็กคิดแบบสวมหมวกสีขาวก็ตั้งคำถามให้คิด
           
ตัวอย่างของคำถาม เช่น
1. เรามีข้อมูลอะไรบ้าง
2.เราต้องการข้อมูลอะไรบ้าง
3.เราได้ข้อมูลที่ต้องการมาด้วยวิธีใด
          
สีแดง หมายถึง การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของอารมณ์และความรู้สึก
- สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับข้อมูลที่เป็นกลาง ลางสังหรณ์ สัญชาตญาณ ความประทับใจ สิ่งที่ไม่ต้องการข้อพิสูจน์ สิ่งที่ไม่ต้องเหตุหรือผลหรือหลักฐานมาอ้างอิง
         
ตัวอย่างของคำถาม เช่น
1.เรารู้สึกอย่างไร
2. นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ทำ
3.นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับความคิดนี้
         
สีดำ หมายถึง การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของข้อควรระวัง และคำเตือน เป็นหัวใจของการคิด
- ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของเรื่องนั้น คอยเตือนภัยให้ระวังตัว สิ่งนั้นไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ในอดีตอย่างไร ทำไมสิ่งนั้นอาจใช้การไม่ได้ ชี้ให้เห็นปัญหาและความยุ่งยาก การอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ ดำรงคุณค่าและจริยธรรม
        
ตัวอย่างของคำถาม เช่น
1.อะไรคือจุดอ่อน
2. อะไรคือสิ่งที่ผิดพลาด
3.อะไรคือสิ่งที่ยุ่งยาก
       
สีเหลือง หมายถึง การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกที่ดี เป็นมุมมองในแง่บวก รวมถึงความหวัง และการคิดในแง่ดี เป็นการคาดการณ์ในเชิงบวก
- เป็นความคิดเชิงบวก สีเหลืองคือสีของแสงแดดและความสว่างสดใส การมองโลกในแง่ดี การมุ่งมองที่ผลประโยชน์ การคิดที่ก่อให้เกิดผล หรือทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้
         ตัวอย่างของคำถาม เช่น
1.จุดดีคือะไร
2.ผลดีคืออะไร
       
สีเขียว หมายถึง การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความคิดริเริ่ม และ
2.ถ้านักเรียนจะทำให้สิ่งนี้...(ดีขึ้น)...จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร          
        สีฟ้า หมายถึง การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของการคิดแบบควบคุม การจัดระบบกระบวนการคิด และการใช้หมวกอื่นๆ
- เป็นการคิดที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการคิด การควบคุมหมวกคิดใบอื่นๆ เป็นการมองภาพรวมข้อสังเกตและสถานการณ์โดยรวม สรุปและลงมติ
        
ตัวอย่างของคำถาม เช่น
1.อะไรที่ต้องการ
2.ขั้นตอนต่อไปคืออะไร
3.อะไรที่ทำไปก่อนแล้ว
                ประโยชน์ของการใช้ Six Thinking Hats
1.  ช่วยลดความขัดแย้งในการประชุมลงไปได้มาก
2.  ช่วยให้เกิดการคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน
 Ø  โครงงาน
                     โครงงานหมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่นใดไปใช้ในการศึกษาหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอนคอยกระตุ้นแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษา ค้นคว้า ดำเนินการ วางแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน โดยทั่วๆ ไป การทำโครงงานสามารถทำได้ทุกระดับการศึกษา ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงาน อาจเป็นโครงงานเล็กๆ ที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนหรือเป็นโครงงานใหญ่ที่มีความยากและซับซ้อนขึ้นก็ได้ 
    ประเภทของโครงงาน
   1. โครงงานประเภทสำรวจ
                   โครงงานประเภทสำรวจ เป็นโครงงานประเภทเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรือสำรวจความคิดเห็น ข้อมูลที่รวบรวมได้บางอย่างอาจเป็นปัญหาที่นำไปสู่การทดลองหรือค้นพบสาเหตุของปัญหาที่ต้องหาวิธีแก้ไขปรับปรุงร่วมกัน เช่น โครงงานการสำรวจคำที่มักเขียนผิด โครงงานสำรวจการใช้คำคะนองในหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
                     2.โครงงานประเภทการทดลอง
                     โครงงานประเภทการทดลอง เป็นโครงงานที่ต้องออกแบบทดลอง เพื่อการศึกษาผลการทดลองว่าเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ โครงงานประเภทนี้ต้องสรุปความรู้หรือผลการทดลองเป็นหลักการหรือแนวทางการปฏิบัติไว้ เช่น โครงงานการทดลองยากันยุงจากพืชสมุนไพร โครงงานการทดลองปลูกพืชสวนครัวโดยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
                     3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
                     โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่ประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ โดยอาศัยเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อประดิษฐ์ชิ้นงานใหม่ อาจเป็นของใช้ เครื่องประดับจากวัสดุเหลือใช้ หรือนำวัสดุท้องถิ่นที่มีมากมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น โครงงานการประดิษฐ์เครื่องจักสานจากผักตบชวา โครงงานการประดิษฐ์เครื่องช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ เป็นต้น
4. โครงงานประเภททฤษฎี
                    โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่มีลักษณะเป็นการหาความรู้ใหม่ โดยการรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์จากสถิติแล้วอภิปราย หรือเป็นโครงงานที่ศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกิดจากข้อสงสัย อาจเป็นการนำบทเรียนมาขยายเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้ความรู้ในแง่มุมที่กว้างและลึกกว่าเดิม เช่น โครงงานการศึกษาคำซ้อนในวรรณคดีร้อยแก้ว โครงงานการศึกษาข้อคิดจากเรื่อง
                    Ø  วิธีการสอนโดยใช้เครื่องมือหมวก 6ใบกับโครงงานแตกต่างกันอย่างไร?
             เทคนิค หมวก 6 ใบ เป็นเทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามเป็นการสอนเพื่อพัฒนาการคิดสำหรับนักเรียน ทุกระดับชั้นส่วนการเรียนการสอนแบบโครงการ  เป็นการผสมผสานรูปแบบการ เรียนการสอนต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการเรียนแบบลงลึกถึงรายละเอียดในเรื่องที่เด็กสนในและเป็นเรื่องที่เด็ก เลือกเรียนเอง จึงทำให้เด็กมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ กำหนดคำถามที่ตนเองสนใจ เพื่อค้นหาคำตอบและรับผิดชอบต่องานที่ทำ
          ตัวอย่างเช่น  วิธีการสอนแบบโครงการจะใช้คำถามที่นำไปสู่การทดลอง เป็นการเรียนการสอนแบบลงปฏิบัติ  การค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ผู้เรียนอยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของตนเองหรือของ กลุ่ม เป็นการตัดสินใจร่วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนำผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวิตจริง ส่วนวิธีการสอนแบบหมวก  6 ใบ จะใช้คำถามนักเรียนจะใช้ความคิดนี้ไปใช้ทำอะไร นักเรียนก็จะคิดมองทีละด้าน หลายๆแบบแล้วสรุปเป็นความคิดใหม่ ที่จะสามารถให้นักเรียนมีความรอบคอบและรอบด้านในเรื่องที่ศึกษา
                                                                                                                                                                   อ้างอิง
                                                                                             www.tet2.org/index.php?layโครงการ 15กุมภาพันธ์ 2554

                                                                                                                                                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น